เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ก.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันพระ เป็นประเพณีหรือเปล่า...เป็นประเพณี... เพราะว่าก่อนที่จะมีวันพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่วางประเพณีวัฒนธรรมไว้ มันก็มีวันอย่างนี้ ข้างขึ้นข้างแรมมันก็มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเพราะเหตุใด

ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะว่ามีอริยสัจในหัวใจ การกระทำในหัวใจ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้เพื่อเหตุใด เพื่อให้เราก้าวเดินตาม เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติตามให้ได้เป็นแบบนั้น ถ้าให้ได้เป็นแบบนั้น มันก็ต้องมีหนักมีเบาเห็นไหม

วันโกน วันพระ วันปกติเป็นวันทำมาหากิน วันโกน วันพระ เราจะเข้าวัดเข้าวา เพื่อรักษาใจของเรา นี่มันมีเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา ให้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ให้ชาวพุทธได้กระทำเห็นไหม

แต่เดี๋ยวนี้ชาวพุทธบอกว่า “วันโกน วันพระ มันไม่เป็นสากล วันหยุดก็เป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันโกน วันพระ ก็เป็นเรื่องของประเพณีวัฒนธรรม” เพื่อจะให้ทันโลกไง

พอทันโลกขึ้นไปมันมีแต่ความเร่าร้อน แล้วทุกคนก็บอกว่า เวลาอุตสาหกรรมมันเจริญขึ้น มันทำลายสิ่งแวดล้อม เราก็มาเสียดายสภาวะแวดล้อมนั้น เราก็ต้องหาเงินหาทองมาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมนั้นขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรม เรื่องคุณธรรมในหัวใจของคน เวลามันเสื่อมสภาพไป มันสูญเสียไป เราก็จะพยายามฟื้นฟูกัน...ฟื้นฟูกัน แต่ขณะที่เราทำลายทีแรก เราไม่ได้คิดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ขึ้นมา มันมีวันโกน วันพระ มาก่อนหน้านั้นไหม... มันไม่มีหรอก

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะอะไร เพราะวิมุตติสุข สุขอันนี้มีคุณค่า สิ่งมีคุณค่าในชีวิตของมนุษย์นี้มีคุณค่ามาก วิธีการเข้าไปหามันทำอย่างไร วิธีการเข้าไปหามัน วิธีการเข้าไปชำระล้างมัน ให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเรา ถ้ามีคุณค่าสำหรับเราเห็นไหม “จิตแก้จิต” จิตแก้จิตต้องเอาจิตตัวเองแก้กับตัวเอง สิ่งที่เราจะเอาคนอื่นมาแก้ไข มันก็เพียงแต่โอ้โลมปฏิโลมกัน ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำเท่านั้น นี่ประเพณีวัฒนธรรม

ถ้าประเพณีวัฒนธรรมเพื่ออะไร เพื่อความจริง ประเพณีวัฒนธรรมเป็นกระแส เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม แต่ความจริงเป็นเรื่องของเรานะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นคุณค่า เวลาเราบวชพระ ธงชัยพระอรหันต์ เวลาเราเป็นฆราวาส เราเป็นคฤหัสถ์ เราไม่ได้ห่มธงชัยพระอรหันต์ เวลาเราห่มธงชัยพระอรหันต์ ธงชัยนะ นี่.. ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์ เป็นเครื่องหมาย! แต่เรามีไหม เครื่องหมายของพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย

“ขอให้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง อย่าเป็นผ้าทองคำห่อขี้”

ผ้าทองคำนะ ผ้าธงชัยผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้าธงชัยพระอรหันต์ ห่อขี้ไง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงไง ห่อไอ้ขี้นี่ มันไม่มีประโยชน์เลย แต่ถ้ามันเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เก็บปะเก็บชุนมา ถือธุดงควัตรมา ถือผ้าบังสุกุล มีครูบาอาจารย์ท่านถือ... หลวงปู่มั่นถือตลอดชีวิตนะ

หลวงตาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ “ไม่เอา! ไม่เอา!” เก็บหอมรอมริบ เก็บเอาจากผ้าข้างทางขึ้นมา พอเขารู้เกียรติศักดิ์เกียรติคุณ เขาก็เอาผ้ามาวางตามบันได เอามาวางตามโคนต้นไม้ที่หลวงปู่มั่นผ่านไป แต่ก่อนหน้านั้นล่ะ แต่ก่อนหน้านั้น ดูสิ เวลาท่านไปอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านไปเจอชุดข้าราชการที่เขาทิ้งแล้ว...

หลวงปู่ลี วัดอโศการามเป็นผู้อุปัฏฐาก แล้วเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาเขียนลงในประวัติหลวงปู่มั่น

พอไปบิณฑบาต อยู่ในชุมชน จะไปเก็บผ้ามันก็น่าเกลียดใช่ไหม เอาตีนเขี่ยไปก่อน...เขี่ยออกไป...พอเขี่ยออกไปพ้นสายตาคน เอาเข้ามาเหน็บไว้ในประคตเอว แล้วบิณฑบาตกลับวัด

พอกลับไป หลวงปู่ลีท่านอุปัฏฐากอยู่ ท่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะพระบวชใหม่ พระบวชใหม่ ๒-๓ พรรษา เพราะว่าหลวงปู่ลี บวชที่วัดอยู่ที่อุบลฯ ก่อน แล้วมาอยู่กรุงเทพ แล้วหลวงปู่มั่นมาเอาจากวัดบรมฯ ไปอยู่เชียงใหม่

ในเมื่ออยู่ด้วยตัวเองก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไปเห็นหลวงปู่มั่นไปเอาตีนเขี่ยมา... เขี่ยมา... แล้วก็เอามาเหน็บใส่ประคตเอว... ก็ไม่เห็นนะ หายไปเลย ชุดข้าราชการผ้าสีกากีนี่

สุดท้ายแล้วพอถึงที่สุด หลวงปู่มั่นเอาไปซัก ซักแล้วเอาไปตัด ตัดแล้วเอาไปเย็บ เย็บเสร็จแล้วก็เอามาให้หลวงปู่ลี หลวงปู่ลีเป็นพระเด็กๆ ไง นี่เอาไปใช้... ตัดมาเป็นย่าม...เอามาใช้ นี่ผ้าบังสุกุล เศษที่เขาทิ้ง ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ห่อทองเพราะอะไร ห่อทองเพราะมีคุณธรรมในหัวใจ

แต่ไอ้เราผ้าทองห่อขี้ โอ้โฮ.. ห่มผ้าไหมนะ โอ๊ย.. ห่มนะ...ขี้ทั้งนั้นน่ะ!! เอาขี้มาห่อตัว เอาผ้ามาห่อขี้ เอามาห่อนั่นนะ...

แต่เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองเห็นไหม ธงชัยพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราประพฤติปฏิบัติมา นี่ประเพณีวัฒนธรรม เพื่อมาทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเรามาทำคุณงามความดีกับเรา คุณงามความดีมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเรารู้ เราสำนึก ถ้าเราไม่สำนึกนะ เราจะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเลย ถ้าเราสำนึกขึ้นมา สติมันเกิดนะ ถ้าสติมันเกิดมันจะรู้สำนึก มันจะรู้จักตัวเอง มันการกระทำของเราเอง

ถ้าเราไม่รู้จักสำนึกนะ เราว่าถูกหมด ทิฐิ! ทิฐิความเห็น แบกขี้มาไง ไปเห็นว่าที่นี่เขามีขี้วัวขี้ควายนะ อู่.. เราทำเกษตรกรรมใช่ไหม อู่.. มีคุณค่ามากเลย

ขี้เอาไปใส่ปุ๋ยได้ มันก็แบกมา...

พอมาข้างทางก็มาเจอเศษเหล็ก มันก็ไม่ยอมทิ้ง... แบกขี้ไป

ไปเจอเงินมันก็ไม่ยอมทิ้ง... แบกขี้ไป

พอไปเจอทองคำมันก็ไม่ยอมทิ้ง...

กลับบ้านไป มันเอาขี้นั้นเอาไปเป็นประโยชน์...

...แต่คนที่เขาฉลาด!!! จริงอยู่เราเป็นเกษตรกรรม ปุ๋ยมีประโยชน์มาก

แต่ถ้าเราเอาไป... ปุ๋ยมีคุณค่าเท่าไหร่...

เหล็กมันเอาไปทำจอบทำเสียมจะดีกว่านั้น...

ถ้าได้เงินเขาเอาไปทำเครื่องบูชาได้... ยิ่งทองคำเห็นไหม...

นี่ทิฐิ!! ถ้ามันยึดมั่นของมันมา มันจะมีขี้ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนปลาย แต่ถ้ามันมีคุณธรรม มีสติปัญญาขึ้นมา เริ่มต้นมาจากขี้ เราเกิดมาจากกาม พวกเราน่ะขี้เต็มตัวทุกคน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก พระโมคคัลลานะเห็นไหม “กามมีโทษมาก”

“โมคคัลลานะ เธอพูดอย่างนั้นไม่ได้ เราก็เกิดจากกามนะ เกิดจากพ่อจากแม่เหมือนกัน” พวกเรานี่เกิดจากขี้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของตระกูล ของปู่ ย่า ตา ยาย ของเรามาก็มาเกิดให้เป็นเรา แต่เรามีกรรมของเราด้วย เพราะกรรมเราปฏิสนธิจิตในไข่ของแม่ อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนแล้วก็คลอดออกมา มันมาจากขี้นะ

แต่มันมีคุณธรรม มีความรู้สึก มีคุณงามความดีในหัวใจ เพราะปฏิสนธิจิต มันมีบุญกุศล อริยทรัพย์ ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

พอเกิดขึ้นมาแล้ว เราโตขึ้นมาในพุทธศาสนา เราเกิดมาในสังคมชาวพุทธ ประเพณีวัฒนธรรม เราซาบซึ้ง เราเห็นโทษเห็นภัย ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร วัฏสงสารทำให้ทุกข์ให้ร้อนขึ้นมา มันมีขี้มาอยู่ข้างนอก แต่มันมีคุณธรรมในหัวใจ มันมีความใฝ่รู้ มีความสำนึก มีความหาทางออกเห็นไหม มันก็มีสติปัญญาขึ้นมา มันก็พยายามตั้งสติของมัน มันก็มีการกระทำของมันขึ้นมา

ฉะนั้นเราเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ เพราะทิศทางมันแคบ เราอยากจะมีโอกาส มีทิศมีทางที่กว้างขวาง เราเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็บวชเป็นภิกษุเห็นไหม ภิกษุเป็นผู้ขอ... ขอปัจจัยเครื่องอาศัย ขอมาเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตมาเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติขึ้นมาเพื่อชำระขี้เห็นไหม นี่มันก็จะเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง

แต่ถ้ามันไม่มีทิฐิมานะติดตัวมันนะ มันจะเอาแต่ขี้มันมา แล้วมันจะเอาผ้าห่อขี้ ห่อความโลภ ความโกรธ ความหลง ห่อทิฐิมานะไง มันจะมีมานะ มีทิฐิ มีความกล้าในหัวใจ อันนี้มันห่อไว้นะ แล้วก็ฉุยฉายนะ... เป็นพ่อไก่แจ้นะ... โอ้โฮ... ย่างกรายนะ มีแต่คนล้อมนะล้อมหลังนะ... ขี้ทั้งนั้นน่ะ !!

หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ท่านตรัสรู้อยู่คนเดียวในป่านะ หลวงปู่มั่นทั้งชีวิต... เราเกิดจากป่าเห็นไหม เกิดจากในป่า... ตรัสรู้ในป่า... แล้วก็ตายในป่า...

หลวงปู่มั่นตาย จะตายที่หนองผือ แต่ก็เห็นว่ามันจะไปรบกวนชีวิตของคนอื่น ชีวิตของสัตว์อื่นเห็นไหม ออกมาตายอยู่วัดป่าสุธาวาส ก็ยังเป็นวัดป่าอยู่สมัยนั้น สมัยนั้นเมืองนิดเดียว หลวงตาบอกว่า “เดินจากวัดป่าสุธาวาส เข้าไปบิณฑบาต ๓-๔ กิโลเหมือนกัน เพราะว่าเมืองยังไม่ขยายตัวออกมา” เห็นไหม ตรัสรู้ในป่า ท่านอยู่ทั้งในป่า ตายในป่า ในป่าเพราะอะไร เพราะมันเป็นที่สงบสงัด มันเป็นวิหารธรรม เพราะจิตใจไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับใคร

แต่ถ้ามันออกมาข้างนอก เป็นเรื่องของโลกเห็นไหม เรื่องของโลกนะ หลวงตาพูดบ่อย “ลำเอียงข้างโน้น! ลำเอียงข้างนี้! รับรู้อย่างโน้น!” ทิฐิของคนอ่ะ!! เขาจะเอาตามใจเขา แล้วเราจะเอาใจเขาได้อย่างไร ใจของคนคิด มันก็แตกต่างหลากหลาย มันก็เอาทิฐิ เอาขี้มันมาจับทองไง โอ๊ย... ทองคำอันนี้หมอง ยังไม่ได้เช็ด โอ๊ย... ทองคำอันนี้ไม่ดี ไอ้ทองคำไม่รู้เรื่อง...

นี่ก็เหมือนกัน อยู่ป่าดีกว่า อยู่ป่าอยู่เขา อยู่ในความสงบสงัด แต่มันเป็นความจำเป็น เวลาความจำเป็นเห็นไหม ในเมื่อเขาหวังดีของเขา เขาก็แสวงหาของเขา เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกไว้เลย “อะไรเราก็ป้องกันให้ได้ แต่เขาแสวงบุญของเขา เราป้องกันให้เขาไม่ได้ เพราะสิทธิของเขา เขาก็แสวงบุญของเขาเหมือนกัน”

เราเป็นภิกษุ เราเป็นพระ เราต้องมีสติปัญญาของเรา เพื่อรักษาของเรา รักษาคอร์ดของเรา รักษาหัวใจของเรา อย่าให้ขี้มันไหลออกมา พยายามอุดรูขี้ไว้ “ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง” อุดมันไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วรักษามัน แล้วแก้ไขมัน เพราะเรายังมีขี้อยู่ในหัวใจ

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติของท่าน และท่านเป็นธรรมของท่าน กรณีอย่างนี้ โลกธรรม ๘ ธรรมมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทา มันเรื่องธรรมดา มันมีอยู่แล้ว

ทองคำเขายังติเลย “กูไม่อยากได้ กูอยากได้เพชร”

พอได้เพชรขึ้นมา “เพชรกูก็ไม่อยากได้ กูกินไม่ได้ กูอยากได้ข้าว”

พอได้ข้าวมาบอกว่า “ข้าวมันจะบูด ไม่เอาอีกแล้ว” เห็นไหม

เพชรกินไม่ได้นะ แก้วแหวนเงินทองกินไม่ได้ แต่เวลามันอยากได้ มันก็อยากได้ของมันเห็นไหม แต่เวลาจำเป็นขึ้นมามันอยากกินข้าวนะ

นี่ก็เหมือนกัน “มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ” ถ้าจิตใจเป็นธรรมแล้ว โลกธรรม ๘ มันไม่หวั่นไหว แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์เราเป็นที่พึ่งอาศัย เราก็ต้องไปอาศัยครูบาอาจารย์เราเห็นไหม พออาศัยขึ้นมาเราก็จะฝึกตัวเราเอง

แต่ในโลกธรรมมันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องแก้ไขของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเราเพื่อเผชิญกับมัน อยู่ในป่าก็ได้ อยู่ในที่สงบสงัดก็ได้ อยู่ในที่เขาแสวงบุญของเขาก็ได้ เขาแสวงบุญของเขานะ มันเป็นโอกาสของเขา มันเป็นสิทธิของเขา

แต่ถ้าเราเป็นผู้นำ เราเป็นครูบาอาจารย์ เราก็ป้องกันลูกศิษย์ของเรา ป้องกันสิ่งที่กระทบ ดูสิ เวลาคนเป็นไข้ ของแสลงเขาไม่ให้กินนะ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องดูแลรักษานะ ถ้ามันเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วกินของแสลง ไข้มันจะรากขึ้นมา ไอ้เราไข้ใจมันมีทุกๆ คนนะ กิเลสตัณหาทะยานอยากในหัวใจมีอยู่ทั้งนั้นเลย มันป่วย!! แล้วครูบาอาจารย์จะปกป้องดูแลมันอย่างไร

ถ้ามันเข้าใจอย่างนี้นะ มันก็จะเคารพครูบาอาจารย์ แต่ถ้าไม่เข้าใจนะ โอ้โฮ.. ดุน่าดูเลย อะไรก็ดุ ดุก็เพื่อมันจะแทงน้ำเกลือ ดุขนาดไหน นั่นนะ.. เข็มนะ... มันจะทิ่มเข้าไป เพื่อจะให้โอกาสกับคนๆ นั้น

แต่ถ้าเราเข้าใจนะ ดุ! ดุเพราะอะไร... แทงเข้ามาน้ำเกลือ เข็มแทงเข้ามา แทงเข้ามานี่ แล้วน้ำเกลือเข้ามาในร่างกาย มันจะแข็งแรงขึ้นมาไหม

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ขี้มันไหลออกมา แล้วเขาจะอุดไว้ เขาจะไม่ให้ออกมา เราแสดงกิริยาออกมาอย่างนั้น เพื่อเป็นกับทางโลกอย่างนั้น มันสมควรกับสมณะวิสัยไหม สิ่งนั้นเขาอุดแล้ว อุดอันนั้น ถ้ามันเป็นประโยชน์ ถ้ามีปัญญามันคิดได้ ใคร่ครวญได้เห็นไหม ปัญญามันใคร่ครวญได้ ขี้นั้นมันก็จะไม่ไหลออกมา แต่ถ้ามันใคร่ครวญไม่ได้ ขี้มันจะเยิ้มออกมานะ โอ้... โน่นก็ไม่ดี... นี่ก็ไม่ดี... ไม่ดีสักอย่างหนึ่งเลย ดีหรือไม่ดี...มันมีคุณค่าในตัวมันเอง

มอร์ฟีนเวลาเขาเอามาใช้ในการรักษา เขายังใช้รักษาในการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เวลาเจ็บปวดเขาฉีดมอร์ฟีนทั้งนั้น แต่ถ้าคนไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไปติดมันนะ เสียหายมากเลย ในมอร์ฟีน ในยาเสพติด มันก็มีคุณค่าของมัน ถ้าใช้ประโยชน์มันเป็น ถ้าหมอเขาใช้ก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็น เราใช้เสียหายหมดเลยเห็นไหม

ครูบาอาจารย์ท่านดูของท่าน ท่านแก้ไขของท่าน เพื่อประโยชน์กับท่านด้วย ประโยชน์เป็นวิหารธรรม ประโยชน์ในสิ่งที่มีความสงบสงัด และประโยชน์กับหมู่คณะด้วย ประโยชน์กับผู้ที่มาอาศัยด้วย

ฉะนั้นทิฐิมานะมันแตกต่างหลากหลายเห็นไหม มันก็ต้องเอ็ด! เอ็ดอย่างเดียว! เอ็ดอย่างนี้คือคุณประโยชน์ แต่ถ้าคนที่เขาไม่เห็นประโยชน์ เขาก็เห็นเป็นโทษ นี่เป็นโทษของเขา สิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาของคน มันจริตนิสัยเข้ากันได้หรือเข้ากันไม่ได้ ถ้าเข้ากันได้มันก็เห็นคุณเห็นไหม เข้ากันโดยธาตุ

ลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ปัญญาวิมุตติ เป็นพวกมีปัญญาหมดเลย

ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะ มีฤทธิ์เดชหมดเลย

ลูกศิษย์ของเทวทัตก็ลามกเหมือนกันหมดเลย

มันชอบ! น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน มันเข้ากันโดยธาตุ เห็นแล้วมันชอบใจ ดูดดื่ม อื่อ! อย่างนี้เราชอบ! เราชอบ! นี่เข้ากันโดยธาตุ เข้ากันโดยอำนาจวาสนา เข้ากันโดยจริตนิสัย เข้ากันโดยธาตุ

แต่ความจริงสัจธรรมมันเป็นสัจธรรมอีกอันหนึ่ง สัจธรรมอันหนึ่งเราต้องแก้ไข จะธาตุใดก็แล้วแต่ ต้องทำให้มันสะอาดบริสุทธิ์ จะธาตุใดก็แล้วแต่ ทำให้เป็นประโยชน์กับเรา

วันพระ...เป็นผู้ประเสริฐ... พระที่เป็นผู้ประเสริฐ... พระเห็นไหม... ไม่ใช่ประเพณีวัฒนธรรม... ไม่ใช่พระเป็นพระประเพณี... พระประเพณีมันก็เป็นสมมุติสงฆ์!

ถ้าพระในพุทธศาสนา นี่บุคคล ๘ จำพวก ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีขึ้นไป บุคคล ๘ จำพวก เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะมีเป้าหมายของเรา เราจะทำเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา เอวัง